ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรแห่งความรู้คู่ความสำเร็จ

หากท่านสนใจพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์ และเรื่องอื่นๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ตลอดเวลา นมัสเต....

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เจ้าแม่ทุรคา (ปาง เหยียบหน้าอกพระศิวะ)

เจ้าแม่ทุรคา (ปาง เหยียบหน้าอกพระศิวะ)
            นะโม นะโม....ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย บทความนี้จะขอนำเสนอเกี่ยวกับตำนานเจ้าแม่กาลีเหยียบหน้าอกพระศิวะเจ้า เพื่อให้มองเห็นภาพจะกล่าวย้อนกลับไปกล่าวถึงเทพเจ้าทั้งสามองค์ก่อน ซึ่งททางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียกว่า “ตรีมูรติ” หมายถึง “โอม” คือศูนย์รวมอยู่แห่งเทพเจ้าทั้งสาม ประกอบไปด้วย พระพรหม ผู้สร้าง, พระวิษณุ ผู้รักษา, และพระศิวะ ผู้ทำลาย เทพเจ้าทั้ง ๓ นี้ถือว่าเป็นมหาเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ในบรรดาเทพเหล่านี้ พระศิวะเจ้าจะเป็นที่เคารพในทางกำจัดความชั่วร้ายต่างๆ เพราะพระองค์สสามารถที่จะทำความพินาศให้แก่มนุษย์และสรรพสิ่งได้อย่างไม่เกรงใจใคร ถ้าท่านเคยเห็นรูปววาดของพระศิวะจะสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม กายสีเขียว ตามีสามดวง มีงูเป็นสังวาล มีตรีสูญเป็นอาวุธประจำ มีกลองสองหน้าเป็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณให้พวกอสูรหวาดหวั่น และที่สำคัญบนมวยผมของพระศิวะจะมีพระแม่คงคาพ่นน้ำลงใส่มวยผมในคราที่นางจะลงมาสู่โลกมนุษย์ ถ้าไม่มีมวยผมพระศิวะมารองรับในครั้งกระโน้น โลกของเราก็คงจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะโลกนี้ไม่สามารถรองรับอานุภาพของน้ำคงคาได้เลย
          เอาล่ะ! มาถึงตรงนี้เราก็ได้ทราบแล้วว่าหน้าที่หรือบทบาทของเทพเจ้าแต่ละองค์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง เทพเจ้าของชาวอินเดียจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับมนุษย์อยู่หลายอย่าง เช่น การมีครอบครัว ชีวิตการเป็นอยู่ นอกจากนั้นยังมีอารมณ์ที่โหดร้ายบ้าง ดีบ้างผสมกันไป เทพแต่ละองค์ก็จะมีพระชายา และอานุภาพฤทธิ์เดชของพระนางเหล่านั้นจะมีพลานุภาพมากเหมือนๆ กับสามี พระพรหมมีพระนาง สุรัสสวดี เป็นพระชายา, พระนางลักษมี เป็นพระชายาของพระวิษณุ, และพระนางปารวตี เป็นพระชายาของพระศิวะเจ้า แต่ละนางนี้ก็มีอยู่หลายภาคเหมือนกัน บางครั้งจึงปรากฏเหมือนว่ามีหลายคน แต่ความจริงคือเป็นคนเดียวกัน แล้วแต่ว่าพระนางจะอวตารมาเป็นอะไรตอนไหนเท่านั้นเอง
          ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะพระนางปารวตี ซึ่งเป็นพระชายาของพระศิวะ พระนางมีอยู่หลายภาคที่เรารู้จัก เช่น พระแม่อุมาบ้าง(อารมณ์ดี) เจ้าแม่กาลีบ้าง(โกรธ) พระแม่ทุรคาบ้าง(ปราบอสูร) ก็ล้วนแต่หมายถึงคนเดียวกัน แต่ที่มีหลายปางเพราะอารมณ์ที่สื่อออกมาคนละอย่างกัน แล้วแต่สถานการณ์ว่าอย่างนั้นเถอะ
          ครั้งหนึ่ง พระพรหมสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา พร้อมกันนี้ได้สร้างอสูรด้วย พวกอสูรมีนิสัยเกเรเป็นอันธพาล ก่อกวนไปทั่วพื้นโลกา ที่สำคัญพวกอสูรเหล่านี้ตายยากมาก ถ้าเลือดหยดลงสู่พื้นปฐพีก็จะเกิดเป็นอสูรอีกตัว หรือถ้าตกลงพื้น ๓ หยด ๔ หยด ๕ หยด...ฯลฯ ก็จะมีอสูรเพิ่มขึ้นตามนั้น แพร่ขยายพันธุ์เร็วมาก เมื่อพวกอสูรรบกวนและก่อความวุ่นวายให้แก่มนุษย์และเทวดา จึงต้องเป็นหน้าที่ของมหาเทพที่ต้องชำระมลทินเหล่านี้ให้หมดไป เมื่อเทพทั้งหลายประชุมกันพระศิวะเจ้าก็อาสาเพื่อไปทำศึกกับพวกอสูร เพราะถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงว่างั้นเถอะ ต่อแต่นั้นพระศิวะมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้ออกลาดตระเวรปราบอสูร แต่เกิดเป็นเหตุอัศจรรย์เพราะว่ายิ่งฆ่าแต่จำนวนอสูรยิ่งเพิ่มเป็นทวี จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน โอ้!พระศิวะเจ้าจะทำอย่างไรหนอ พอกลับมาสถานวิมานแห่งตนแล้วก็นั่งคิดถึงแผนการว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีจึงจะจัดการพวกอสูรได้ ในตอนนั้นพระชายาพระองค์ก็อยู่ด้วย พระชายาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงคิดว่าเราควรจะช่วยพระสวามีในการปราบอสูร จึงขอร้องพระศิวะให้ตนได้ช่วยปราบอสูรในครั้งนี้ แต่พระศิวะกลับปฏิเสธเพราะไม่ใช่หน้าที่ผู้หญิงนี่นา!!!
          พระนางปาวรวตี จึงแสดงอำนาจและพลังให้พระสวามีดูโดยอวตารแปลงกายเป็นเจ้าแม่ทุรคาในบัดนั้นและแสดงฤทธิ์โดยการทำให้พระศิวะล้มลงและขึ้นไปยืนเหยียบบนหน้าอก พระศิวะเจ้าเห็นพระชายามีพลังอย่างนี้จึงไม่กังขาและบรรเทาความสงสัยมอบหมายให้พระชายาไปปราบอสูรแทน พระนางพอออกสู้กับพวกอสูรก็เริ่มจับจุดได้ว่า อ๋อ! ถ้าเลือดอสูรหยดลงพื้นดินจะเกิดเป็นอสูรอีกตัว ดังนั้น เวลาที่นางตัดคออสูรแล้วจึงไม่ให้เลือดตกลงสู่พื้นแลบลิ้นอันยาวเหยียดมารองรับหยดเลือดอสูร เลือดก็ไม่สามารถตกถึงพื้นดิน จากนั้นอสูรก็ค่อยๆ ลดลงๆ และสามารถปราบได้ทั้งหมด เพราะอานุภาพและความฉลาดของนางนั่นเอง ลักษณะของรูปเคารพจะเป็นอย่างนี้ คือ กายสีดำ มีสิบแขน อาวุธครบมือ แลบลิ้นที่เต็มด้วยเลือดและที่คอประดับด้วยศีรษะของเหล่าอสูร เวลาที่จะบูชาพระแม่ทุรคาจะต้องเอาเลือดสดๆ สาดใส่ลิ้น แล้วก็ร่ายมนต์เพื่อเป็นการสรรเสริญและอ้อนวอนให้พระนางช่วยพิทักษ์ปราบสิ่งชั่วร้าย เพราะนางสามารถให้ทั้งคุณและโทษได้คล้ายๆ กับสามีคือพระศิวะเจ้า
          ในสมัยก่อนโน้น เขาจะเอาเด็กมาทำพิธีบูชายัญโดยการนำเด็กที่ถูกขโมยมาจากชาวบ้านที่เป็นคนวรรณะต่ำๆ แล้วเอาไปปิดตาเชือกผูกไว้นั่งคุกเข่าต่อหน้าเจ้าแม่กาลี ได้เวลาทำพธีจะเอามีดอันคมกริชปาดคอแล้วให้เลือดพุ่งใส่ลิ้นเจ้าแม่ ซึ่งต่อมาเขาก็ยกเลิกไปเพราะโหดร้ายเกินมนุษยธรรมทั้งหลายจะรับได้ จึงได้เปลี่ยนมาเป็นแพะแทน จึงเป็นที่มาของสุภาษิตไทยที่ว่า “แพะรับบาป” นำแพะมาแล้วก็ตัดคอให้เลือดพุ่งใส่ลิ้นเจ้าแม่ ผู้เขียนก็เคยเห็นพิธีอย่างนี้มาแล้ว จะบอกว่าน่าสยดสยองเลยแหละท่านเจ้าประคุณเอ๋ย!
          เราจะเห็นความเป็นปราชญ์ของชาวฮินดูที่สื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ทราบว่า สตรีหรือผู้หญิงนี้ย่อมเป็นผู้มีอำนาจมาก (โดยเฉพาะกับสามี แฮ่ ๆ) เพราะต่อให้ผู้ชายเก่งขนาดไหน เจอมายายั่วยวนร้อยเล่มเกวียนเข้าไป ก็ต้องหลงไหลไปตามนั้น ในพระธรรมบทอันเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระพุทธศาสนาก็ยังกล่าวไว้เลยวว่า “ไม่มีเสียงใดจะชนะใจบุรุษได้เท่าเสียงสตรี...อิตถี สัทโท.” ต่อให้ผู้ชายมีอำนาจมาดใหญ่ในทางสังคมขนาดไหน เป็นนายพลคุมกองทัพเป็นหมื่นๆ ได้ แต่กลับมาบ้านก็ต้องยอมให้เมียคุม แฮ่ๆๆ เป็นอย่างนั้นรึเปล่าล่ะคุณผู้อ่านทั้งหลาย!!
          ขนาดพระศิวะเจ้ามีพลานุภาพมากเพียงนั้นก็ยังต้องยอมสยบให้พระนางทุรคายืนเหยียบบนหน้าอกได้ จึงเป็นการสื่อให้เห็นอารมณ์ของสตรีทุกยุคทุกสมัยว่า อารมณ์ของสตรีจะเป็นอย่างนี้แหละ เช่น บางครั้งเป็นพรหม บางอารมณ์เป็นมาร บางกาลเป็นเทวดา บางเวลาเป็นยักษ์ บางพักเป็นคน บางหนเป็นมนุษย์
พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “...อย่าประมาทในการครองเรือน” ก็คือการครองคู่ เพราะจิตของสตรีหวั่นไหวง่าย โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์จะแปรปรวนบ่อย ทั้งสภาพแวดล้อมและระบบสรีระร่างกายเป็นองค์ประกอบ คุณพ่อบ้านจึงหมั่นเอาใจ เข้าใจ และไว้ใจ อย่าให้แม่บ้านหงุดหงิดเชียวล่ะ เดี๋ยวโดนเหยียบหน้าอกเหมือนพระศิวะนะ..จาบอกให้...! ! !
งั้นขอยุติแค่นี้ก่อนละกัน พูดมากเดี๋ยวผู้เขียนจะโดนเหยียบหน้าอกซะเอง อะจึ๋ย!!!!!