ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรแห่งความรู้คู่ความสำเร็จ

หากท่านสนใจพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์ และเรื่องอื่นๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ตลอดเวลา นมัสเต....

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

กิจกรรมวันบูรพาจารย์ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕

วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ ในปีนี้ได้ร่วมกิจกรรมหลายอย่าง
โดยเฉพาะการได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนทำให้
ภาระงานมากยิ่งขึ้น ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบก็พอแล้ว
มาดูกันว่าพระมหาประภาส ทำกิจกรรมอะไรมั่ง...
ให้โอวาทนักเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์

นักเรียนกำลังอาราธนาศีล ๕

กล่าวถวายรายงานการดำเนินงานกิจกรรม

จัดอบรมครูอาจารย์เจ้าหน้ที่ของทางโรงเรียนวิโรจ์ผดุงศาสน์

สัมมนาเชิงวิชาการแผนงานและงบประมาณ มหาวิทยาลัย มมร. จ.มุกดาหาร


นำนักเรียนไปแข่งขันที่จังหวัดอุบลราชธานี

ถ่ายภาพคู่กับพระอุปัชฌาย์ พระราชปริยัติวิมล

งานวันบูรพาจารย์ วันที่ ๒๐ กันยนยน ๒๕๕๕

ถ่ายภาพร่วมกับอดีตเจ้าอาวาสวัดมิ่งเมือง

ผู้อำนวยการและผู้จัดการ โรงเรียนวิโรจน์ผดุงศาสน์
ตอนนี้อยู่ที่ประเทศภูฏาน ขอสูดอากาศดีๆ ก่อนนะท่าน

พระราชวังเก่าแก่อีกแห่งที่พาโร ภูฏานที่รัก


หลากหลายความคิดแต่จิตมุ่งสิ่งเดียวกัน คือคิดดี พูดดี ทำดี
ยืนยอดเขา เห็นทิวทัศน์เมืองพาโรแม่น้ำใสเย็นไหลผ่าน โอ้!!...สวรรค์

เป็นกิจกรรมคร่าวๆ ที่นำมาเล่าสู่ฟังอย่าลืมติดตามนะท่านเอ๋ย
มีอะไรดีๆ เยอะมากมายจะมานำเสนอ..

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด (๒๓ ส.ค.๕๕)

ถ่ายร่วมกับผู้กำกับการ ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด
 

ผู้เขียนกำลังบรรยายให้น้องนักศึกษาฟัง เรื่อง ศีลธรรมป้องกันยาเสพติด

น้องนักเรียนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด กำลังนั่งฟังบรรยาย


.....ผู้เขียนได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อเจ้าคุณ พระราชปริยัติวิมล
เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธ) ให้ไปบรรยายพิเศษที่วิทยาลัยอาชีวศึกษา
จังหวัดร้อยเอ็ด เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด....ซึ่งใน
ครั้งนี้มีน้องนักศึกษา(ส่วนมากหญิง) แต่งกายในชุดลูกเสือ เข้าร่วม
โครงการจำนวนมาก ต้องขอนุโมทนาในกุศลเจตนาของผู้บริหาร
รวมถึงนายกองหารบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด สถานีตำรวจภูธร
ร้อยเอ็ย ได้ประสานความร่วมมือจนโครงการสำเร็จ
.....ได้ไปบรรยายแล้วก็รู้สึกว่าน้องๆที่นี่ตั้งใจกันดี เพื่อเตรียมความพร้อม
รู้เท่า รู้ทัน รู้กัน รู้แก้ รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย....
น่าเป็นห่วง....ปัญหายาเสพติดนี่ "ผู้เสพตาย ผู้ขายรวย" น้องๆอย่า
อยากทดลอง หรืออย่าตกเป็นทาสของมันเด็ดขาด รักษาศีลข้อ ๕ให้ได้
....ป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดนี้...ไม่ต้องพึ่งอื่นใด ศีลอย่างเดียว
เท่านั้นก็สามารถห่างไกลได้แล้ว หลักศีล ๕ จะครอบคลุมทุกเรื่อง
ในตัวอยู่แล้ว ฝากท่านผู้อ่านด้วยว่า...ศีล ๕ นี้แหละเป็นหลักให้เกิด
สันติภาพอย่างแท้จริง เพราะอาตมาถือว่าเป็นหลักประกันทางสังคม
ศีล ข้อที่ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ฯ .......เป็นหลักประกันชีวิต
ศีลข้อ ๒ ห้ามลักทรัพย์ฯ .......เป็นหลักประกันทรัพย์สิน
ศีลข้อ ๓ ห้ามประพฆติผิดทางกามฯ......เป็นหลักประกันครอบครัว
ศีลข้อ ๔ ห้ามพูดปดฯ .........เป็นหลักประกันเครดิต
ศีลข้อ ๕ ห้ามเสพของมึนเมา ........เป็นหลักประกันสุขภาพ
.......จำไว้ให้ดีนะน้องๆนักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ไม่ว่าชายหญิง
ถ้าทุกคนรักษาศีล ๕ ได้ ตัวเอง ครอบครัว สังคม ชาติบ้านเมือง
จะสงบสุขอย่างแน่นอน
...ไม่จำเป็นต้องมีตำรวจ ทหาร ศาล คุกตาราง เพราะเมื่อ
ทุกคนมีศีล ปัญหาทางสังคมจะไม่เกิด
"ยาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม"
เอวัง.....แค่นี้ล่ะ
.....ขออนุโมทนา......



ภูฏาน ตอนที่ ๓


วันนี้ขอเล่าต่อจากตอนที่แล้ว.....
ขณะนี้(ในภาพ) ผู้เขียนได้ยืน
อยู่ ณ อนุเสาวรีย์แห่งทหาร
ของภูฏานตั้งอยู่บนยอดเขา
ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๓,๐๐๐
กว่าเมตรเชียว ถือว่าสูงเอามากๆ
สังเกตดูจากฉากด้านหลังนั้น
จะมีกลุ่มควันลางๆ แต่แท้จริง
สิ่งที่มองเห็น คือเมฆ ที่เรามอง
จากพื้นล่างนั่นแหละ แต่เพราะที่นี่
สูงจึงมีเมฆลอยมาให้เราสัมผัสได้
....เดินทางจากเมืองทิมพู
จะไปที่พูนาคาจะต้องผ่านเส้นทาง
นี้ คณะเรามาถึงก็ต้องหยุดเพื่อ
ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก...อยากบอกว่า
สวยงามราวกับแดนสวรรค์นะคุณเอ๋ย...


....กล่าวว่า..สถานที่ตรงนี้เป็นเสมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ รถวิ่งผ่านมาจะต้องวนก่อน
ประมาณ ๑ รอบ พร้อมกับสวดมนต์ไปเป็นการรำลึกถึงความเป็นเอกราชของ
ชาวภูฏาน ที่แห่งนี้ทหารกล้าทั้งหลายได้สละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมังกร
...ทว่า...หากไม่มีวันนั้น....ภูฏานคงไม่มีวันนี้ จะเห็นได้ว่าชาวภูฏานมีความกตัญญู
ต่อบรรพบุรุษ ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อชาวภูฏานเคารพที่แห่งนี้ วิญญาณเหล่า
ภูติผีจะปกป้องรักษาพวกเขาให้ปลอดภัยและอยู่ดีมีสุข
.....เจดีย์ที่วางเรียงรายกลายเป็นพื้นที่วงกลมกลางยอดเขา จึงเป็นเสมือนศาล
หลักเมืองลักษณะเป็นเนินดินเจดีย์รายเรียงเป็นชั้นๆ ตรงกลางจะเป็นเจดีย์ใหญ่
ตั้งอยู่สูงสุดเห็นมาแล้วน่าดีใจแทนชาวภูฏานจริงๆ ในใจกลับคิดอีกอย่างว่า
"อยากอยู่ที่นี่"
หลายคนที่ไปคงไม่แตกต่างทางความคิดเหมือนผู้เขียนซักเท่าไหร่.....ไม่ว่า
อากาศที่บริสุทธิ์ นิสัยใจคอของชาวภูฏานอันเป็นมนต์เสน่ห์ให้เราได้สัมผัส
ความโอบอ้อมอารีย์ มีเมตตาต่อกัน ล้วนเป็นความสุขอันหาได้ยากยิ่งใน
ประเทศอื่นๆ
.....เอาล่ะ..ขอรายงานแค่นี้ก่อนละกันเน๊าะ ครั้งหน้าค่อยเจอกันใหม่มีอะไรดีๆ
อีกมากมายรออยู่ข้างหน้า....อย่าพลาดก็แล้วกันนนนนน

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ภูฏาน : ภูมิสถานที่น่าอยู่ (ตอน ๒)

หายไปหลายวัน.....ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วย
ตอนที่ ๒ นี้เว้นไปหลายวัน....เนื่องจากภารกิจเยอะมาก
เลยต้องห่างหายไปหลายวัน....
...มาเล่าถึงการเข้าไปชมทิมพูซอง (หมายถึงป้อม หรือวัง) วันนี้
พี่ต้อยกับพี่กุ๊กไก่หัวหน้าทัวร์ของ บริษัทมายด์ วาเคชั่น ได้นำ
คณะฯเข้าไปเยี่ยมชม...ก่อนจะไปพี่ไก่กับพี่ต้อย ต้องพาลูกทัวร์
เตรียมตัวกันก่อนเสมือนหนึ่งเป็นการแนะแนวธรรมเนียมการเข้าวัง
เพื่อเข้าไปแล้วจะได้กลมกลืนกับสถานที่....โดยให้ลูกทัวร์แต่งกาย
แบบชาวภูฏาน...อันแน่!!!! อยากทราบล่ะซิว่าแต่งตัวอย่างไร...หัวหน้าทัวร์
แสนสวยของเราทั้งสองก็เลยซื้อผ้าคีร่า (ชุดแต่งกายหญิงของภูฏาน) และ
แต่งเป็นแบบอย่างด้วย สวยเชียวล่ะ...ส่วนฝ่ายชายต้องใส่ผ้าโก
(ชุดแต่งกายชายชาวภูฏาน) ถึงไม่มีรูปประกอบคงนึกออก เพราะสมเด็จ
พระราชาธบดีจิกมี่ วังชุก แต่งอย่างไรคนไทยทั้งมวลคงเคยเห็น...ห้าม
ปฏิเสธล่ะว่าไม่รู้จัก เจ้าชายจิกมี่......อะจึ๋ยยยย!
พอแนะนำสัมทับกันเรียบร้อย เวลาบ่อยคล้อย ท่ามกลางบรรยากาศที่
มีสายฝนปรอยปราย คณะของเราก็ไม่หวั่น  พากันไปอย่างผู้อยากรู้ อยากเห็น
พอไปถึงลานจอดรถ บรรดาลูกทัวร์ฝ่ายหญิงทั้งหลาย พากันแต่งกายชุดคีร่า
รีบหามุมชักภาพทันที ส่วนฝ่ายชายไม่มีใครกล้าแต่งกายแบบภูฏานเลย..อิอิอิ
....แต่น่าเสียดายว่าวันนั้นเราไม่เห็นพระราชจิกมี่ เนื่องจากพระองค์มีราชกิจ
ก็เลยได้เห็นแต่ที่ประทับ (วังใน) และพระราชวังที่ทรงงาน
และประกอบพิธีเท่านั้น
เมื่อเดินฝ่าสายฝนเข้าไปจนถึงประตูใหญ่ทางเข้า เจ้าหน้าที่ก็ตรวจกระเป๋าเพื่อ
ความปลอดภัย....ผ่านแล้วเข้าไปภายใน....โอโห! อยากบอกว่าสวยงามจริงๆ
ภายในนั้นนะ เป็นเหมือนวิหารคดขนาดเขื่อง มีที่ประทับทรงงานของพระราชา
และเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร จุดเด่นก็คือ พระอารามหลวงซึ่งมีพพระลามะอาศัย
อยู่จำนวนมาก คณะเราได้ฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจนเข้าใจ แล้วมุ่งหน้าสู่
วิหารหลวง ภายในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่มาก รายรอบผนังวิหารมี
พระพุทธรูปองค์เล็กๆเรียงรายเป็นระเบียบ ตรงพระประธานด้านซ้ายขวา
จะมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ ขวามือพระพุทธรูปเป็นพระปทุมสมภพ
ส่วนด้านซ้ายมือเป็นพระอวโลกิเตศวร ซึ่งชาวพุทธมหายานจะเคารพบูชามาก
โดยเฉพาะพุทธศาสนานิกายตันตระ และนิกายลุกปะ
....ผู้เขียนเลยพาญาติธรรมไหว้พระสวดมนต์ โดยใช้บทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ
และสังฆคุณ จากให้ให้อธิษฐานจิตตามความเหมาะสมแก่เวลา
ในวิหารนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตน เป็นปฏิมากรรมฝาผนัง มีพุทธประวัติ และพระ
โพธิสัตว์ สวยงามสุดจะพรรณนา เป็นศิลปะผสมระหว่างจีนกับทิเบต รวมเป็น
ศิลปะของภูฏาน จากนั้นให้ร่วมกันบริจาคทำบุญตามอัธยาศัย พระลามะซึ่ง
เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลวิหารก็เอาน้ำมานต์มาแจกจ่าย ทั้งดื่ม ทั้งรด ทั้งล้างมือ
แต่ไม่มีอาบนะ...แฮ่ๆๆๆ
....ก็ได้บุญ ได้ความสุขสบาย ถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระคุณท่านลามะ
อยากบอกว่า ดีมากเลย.....จนอยากอยู่ที่นี่....อิอิอิ
ฝนตกแรงมากแล้ว ดูท่าทีคงจะไม่หยุดง่ายๆ ขอฝ่าสายฝนกลับไปขึ้นรถ
ดีกว่าเน๊อะ....พวกเราขอ บ๊าย บาย ก่อนละกัน
เจอกันตอนหน้า เด้อ.....


วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ภูฏาน:ภูมิสถานที่น่าอยู่

ตอนที่ ๑
ขอกล่าวคำว่า "กูซูซองโป" แปลว่า สวัสดี....
เป็นคำทักทายของชาวภูฏาน
เมื่อไปมาแล้วก็เลยอดที่จะเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังไม่ได้
เพราะว่า....เป็นประเทศที่อยากไปมานานแล้ว...เพิ่งจาได้มีโอกาสครั้งนี้แหละ
ทางพี่สงวนศรี เข็มสม เจ้าของบริษัทมายด์ วาเคชั่น ได้ถวายที่ให้ไปศึกษา
พุทธศาสนาจึงขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง
....ที่ดีไปกว่านั้นยังได้ร่วมแจมกับคณะญาติธรรมทางยโสธร ขอนแก่น กรุงเทพฯ ฯลฯ
มีทุกเพศทุกวัย เป็นกันเองเสมือนญาติกัน
ก็อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกแม้จะ
ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่พอไปเจออากาศที่บริสุทธิ์บนเทือกเขาที่สูงระดับท้องฟ้า
ทำให้ความรู้สึกและอารมณ์เยือกเย็นและเต็มไปด้วยธรรมชาติแห่งชีวิต
ที่เกลือกกลั้วสัจธรรม บนวิถีคำสอนพระพุทธศาสนา
ผู้คนจิตใจอ่อนโยน ยิ้มแย้มแจ่มใส ละมุลละไมด้วยไมตรีจิต
เสียงสวดมนต์ของชาวภูฏานยังก้องกังวานในโสตประสาทมิเลือนลาง
ภูมิประเทศสวยงามอย่างไม่มีอันใดมาปรุงแต่ง คน สัตว์ ต้นไม้ สานธารแห่งน้ำ
อยู่ด้วยกันอย่างกลมเกรียว
คณะฯเดินทางวันที่ ๒๔ ก.ค.๕๕ โดยสายการบินดรุ๊กแอร์
ซึ่งแปลว่า "มังกรเหินฟ้า"
จากสุวรรณภูมิมุ่งหน้าสู่พาโร
โอ้โห.....ตื่นเต้นเร้าใจ หวาดเสียว เหมือนเยี่ยวจะราด!!!
แต่ไม่ราดหรอกนะท่าน อิอิอิ
ต้องยอมรับว่านักบินนี่นะ ขั้นเทพ ซอกแทรกตามหลืบเขา
มุ่งเป้าสู่รันเวย์อย่างนิ่มนวล
เก่งจริงๆ....ขอบอก
....คณะเราทั้งหมดพอลงเครื่องตื่นเต้นกันใหญ่
บางท่านอดใจไม่ไหววิ่งไปถ่ายภาพ
ซึมซาบเอาอากาศที่บริสุทธิ์ สูบลมหายใจให้เต็มปอด เพื่อฟอกให้สดชื่น....
มองทางไหนก็เห็นแต่เขาล้อมรอบ
บ้านเรือนอยู่ตามไหล่เขา แม่น้ำไหลใสเย็น
..โอ...นี่หรือคือดินแดนแห่งมังกรที่น่าเกรงขาม
ทำไมสวยงามอย่างนี้หนอ ไม่น่ากลัวเหมือนชื่อเลยนิ
ส่วนพี่ต้อย พี่ไก่ หัวหน้าทัวร์ แนะนำให้เราถ่ายภาพกันยกใหญ่
จนเกือบประทับพาสปอร์ตเข้าไม่ทัน
.....งั้นไปดีกว่าเดี๋ยวไม่ทันพวก อิอิอิ
เจอกันตอนที่ ๒ จะเล่าประสบการณ์ให้ฟังนะพี่น้อง....

บ๊าย บาย.....

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด

ตารางบรรยาย....พระมหา ดร.ประภาส ปริชาโน (แก้วเกตุพงษ์)

ปริญญาตรีภาคปกติ (ห้องเรียนศรีสะเกษ) ประจำปีการศึกษา ๑/๒๕๕๕
วันจันทร์ : เวลา ๑๒.๐๐-๑๕.๐๐/ปรัชญาตะวันตกสมัยกลาง(PH 2005)/สาขาวิชาปรัชญา
ปี ๓
               : เวลา ๑๕.๑๖-๑๘.๑๘/พุทธปรัชญาเถรวาท(PH1001)/สาขาวิชาปรัชญา ปี ๔

ปริญญาตรีภาคปกติ มหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ วิทยาเขตร้อยเอ็ด ประจำปีการศึกษา ๑/๒๕๕๕
วันพุธ     : เวลา ๑๕.๑๖-๑๘.๑๘/ภาษาสันสกฤตเพื่อการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา
(BU 5007)/เรียนรวมทุกวิชาเอก/ปี ๒

ปริญญาตรีภาคพิเศษ
วันเสาร์ : เวลา๐๘.๓๐-๑๑.๓๐/ภาษาสันสกฤตเพื่อการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา
(BU 5007)/รัฐศาสตร์การปกครอง ปี ๔ (ห้อง ข)
               เวลา ๑๒.๓๐-๑๕.๓๐/ภาษาสันสกฤตเพื่อการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา
(BU 5007)/รัฐศาสตร์การปกครอง ปี ๔ (ห้อง ก)
               เวลา ๑๕.๓๐-๑๘.๓๐/ภาษาสันสกฤตเพื่อการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา
(BU 5007)/การประถมศึกษา ปี ๒

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

เรียนรู้ความตาย (ไม่น่ากลัวเลยใช่ไหม...)

วันนี้จะขอเล่าเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว และทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
นั่นก็คือ "ความตาย" เมื่อได้ยินคำนี้ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า "ไม่สำคัญ"
และเป็นคำ "อปมงคล" ลองถามใจคุณสิ..ว่า คิดเช่นนี้หรือเปล่า...แน่นอน
เพราะธรรมชาติมนุษย์ย่อมกลัวตาย กลัวพลัดพรากเป็นที่สุด ยิ่งคนมีสมบัติ
มากมายยิ่งไม่อยากจากสิ่งเหล่านั้นไปไหน...

ท่านสาธุชนทั้งหลาย.... ความตายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยแต่ทะว่า เมื่อเรารู้แล้วว่าต้องตายอย่างแน่นอน จะได้สร้างความคุ้นเคยกับความตายอย่างไม่เกรงกลัว ยิ่งเป็นการทำให้ไม่ประมาทในชีวิตเพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแยกแสนยาก ที่ยากกว่านั้นก็คือ
การที่จะรู้ว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐยากกว่า....เพราะมนุษย์ส่วนมากไม่รู้จักคุณค่าแห่งชีวิต มัวประมาทเลินเล่อคิดว่ายังหนุ่มแน่น หรือเป็นสาวอยู่ หารู้ไม่ว่า ความตายไม่ได้เลือกวัยไม่เลือกเวลาและโอกาส พร้อมจะตายได้ตลอดเวลา ตายแล้าไม่รู้ว่าจะได้ไปเกิดภพภูมิใด การพิจารณาถึงความตายนั้น เป็นเรื่องไม่เกินความจริงยิ่งสังคมปัจจุบันอันตรายมาก เพราะมีเครื่องล่อลวงชวนให้ได้เกิดความโลภ โกรธ หลง มนุษย์ส่วนใหญ่จะเอาชีวิตไปมัวเมากับวัตถุทางโลก จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เพราะกิเลสทับถมมองไม่เห็นภัยอันใกล้ตัว พระอาจารย์ไพสาล วิสาโร ได้กล่าวไว้ว่า .....มรณสติ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การนึกถึงความตายที่เกิดขึ้นกับตัวเราเท่านั้นนั่นเป็นส่วนแรกของมรณสติ มรณสติมีสองส่วนส่วนแรก คือ การระลึกถึงความจริงว่า เราต้องตายอย่างแน่นอน
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต้องระลึกต่อไปด้วยว่า เราสามารถจะตายได้ทุกโอกาสสามารถจะตายได้ทุกเมื่อ แม้ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก็ตามสำหรับคนส่วนใหญ่ความตายเป็นสิ่งที่แย่
แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร อาจจะคืนนี้ อาจจะพรุ่งนี้ก็ได้ทีนี้ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า ถ้าเราตายในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้จริงๆเราเตรียมใจพร้อมหรือยัง นี้คือส่วนที่สองของมรณสติคือการถามใจตัวเองว่า ถ้าจะต้องตายในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้เราทำความดีมาพอหรือยัง สิ่งสำคัญที่ควรทำ เราได้ทำหรือยังรวมไปถึงว่า เราพร้อมที่จะปล่อยวางสิ่งที่เรามีเราเป็นหรือเปล่ามรณสติหากทำอย่างถูกต้องจะได้ประโยชน์อย่างน้อย สามประการ
๑) ทำให้เราขวยขวายในสิ่งที่เราชอบผัดผ่อน ในชีวิตเรามีสิ่งสำคัญมากมายที่ควรทำแต่เราไม่ได้ทำ เพราะเราเอาแต่ผัดผ่อน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะมันไม่มีเส้นตาย ชีวิตทุกวันนี้เป็นชีวิตที่วุ่นกับการแข่งให้ทันเส้นตายเรามัวแต่ทำโน่นทำนี่เพราะมันมีเส้นตาย ส่วนใหญ่มักได้แก่อาชีพการงานแต่บางทีก็เป็นงานสังคม หรือความสนุกสนานเพลิดเพลินเช่น ต้องรีบไปห้างเพราะเทศกาลลดราคากำลังจะหมดเขตคืนนี้หรือต้องรีบกลับไปดูละครยอดฮิตตอนสุดท้ายในทางตรงข้ามสิ่งที่ควรทำ เช่น การปฏิบัติธรรม การฝึกฝนจิตใจการให้เวลากับครอบครัว การดูแลพ่อแม่เรามักจะผัดผ่อนเพราะมันไม่มีเส้นตาย ทำเมื่อไรก็ได้
เพราะเราคิดว่ายังมีเวลาอยู่ นั่นคือความประมาท
แต่ถ้าเราระลึกถึงความตายอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้นกับเราหรือคนรักของเราเมื่อไรก็ได้ เราก็จะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปหรือผัดผ่อนว่าเรื่องอย่างนี้เอาไว้ทีหลังตรงข้ามเราจะเร่งทำสิ่งเหล่านี้ทันทีที่มีโอกาส ความ ขวนขวายไม่ผัดผ่อนพุทธศาสนาเรียกว่า ความไม่ประมาท
๒) ทำให้เราปล่อยวางในสิ่งที่เราชอบยึดติด เราชอบยึดติดอะไรบ้างเราชอบยึดติดคนรัก เงินทอง ชื่อเสียง การระลึกถึงความตายเตือนใจให้เราเห็นความสำคัญของการปล่อยวาง เพราะในที่สุดเราต้องจากสิ่งเหล่านี้ไปหมดยิ่งระลึกถึงความตายบ่อยเท่าไร ก็ปล่อยวางได้ง่ายเท่านั้นอย่างไรก็ตามสิ่งที่เราควรปล่อยวาง ไม่ได้มีแค่สิ่งที่เรารักหรือให้ความสุขแก่เรา
แม้แต่สิ่งที่เราไม่รัก เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความรู้สึกผิด
ก็เป็นสิ่งที่เราควรปล่อยวางด้วย เพราะถ้าเราไม่ปล่อยวางเวลาจะตาย มันก็จะทำให้เราทุรนทุราย เจ็บปวดอาจถึงกับนอนตายตามไม่หลับ บางคนทำความดีมามาก
แต่เวลาจะตาย ไปนึกถึงความไม่ดีที่เคยทำ อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย
อกุศลที่เกิดขึ้นในใจแม้เพียงขณะเดียวสามารถพาไปสู่ทุคติได้ความรู้สึกผิดว่าเราเคยทำความไม่ดีบางอย่างเอาไว้หรือความโกรธแค้นพยาบาทใครบางคน มันสามารถรบกวนจิตใจในยามใกล้ตายได้ทำให้เราตายไม่ดี ดังนั้นเราต้องรู้จักปล่อยวางสิ่งเหล่านี้และต้องฝึกปล่อยวางเสียแต่วันนี้
๓) ทำให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันเราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของวันนี้หรือวันพรุ่งนี้เพราะเราคิดว่าเรายังจะมีเวลาอยู่ได้อีกหลายปีแต่ถ้าเรารู้ว่าเราต้องตายคืนนี้ แต่ละนาทีที่ยังมีชีวิตอยู่จะกลายเป็นสิ่งมีค่าทันทีเราจะไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไร้สาระคนที่เป็นมะเร็งแล้วรู้ว่าจะมีเวลาอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่กี่เดือนจะรู้สึกเลยว่าแต่ละวันมีความหมายมากในทำนองเดียวกันหากเราเตือนใจตัวเองว่าลูกหลานคนรัก และพ่อแม่ของเรา เขาอาจจะตายวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ได้
เราจะรู้สึกเลยว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่กับเรานั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากแต่ละวันแต่ละชั่วโมงที่เขายังอยู่กับเรา จะมีความหมายมากเราจะไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เราจะให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่เราจะทำดีกับเขา อ่อนโยนนุ่มนวลกับเขา ไม่กระด้างหมางเมินเขาขณะเดียวกันเราจะรู้สึกว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่กับเราแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องมีเงินทองมากไม่ต้องมีบริษัทบริวารมากก็ได้ เพียงแค่คนที่เรารักยังอยู่กับเรายังไม่ตายไปจากเรา แค่นี้ก็นับว่าเป็นโชคดีแล้วถ้าหมั่นเจริญมรณสติในแง่นี้ เราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้น
เราจะพบว่าเรามีของดีอยู่กับตัวหรือรอบตัวแล้วไม่ต้องแสวงหาหรือดิ้นรนมากไปกว่านี้ก็ยังได้มันจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างโปร่งเบาได้จริงๆขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เราหมั่นทำความดีมรณสติจึงไม่ได้ช่วยให้เราตายอย่างสงบเท่านั้นแต่ยังช่วยกระตุ้นเตือนให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่าอย่างถูกต้อง ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์หรือดำเนินชีวิตไปในทางที่เสียหายทราบแล้วเปลี่ยน ก็อย่าประมาทล่ะท่านผู้อ่านอย่าประมาทในวัย ในอายุ ในชีวิต และการครองเรือน
อยากฝากพุทธพจน์บทหนึ่งว่า...

"เมื่อจิตเศร้าหมองย่อมไปสู่ทุคติ
จิตผ่องใสย่อมไปสู่สุคติ"

"ความไม่ประมาท"
จึงเป็นโอวาทครั้งสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเอง!!!!ขอทุกท่านจงเจริญงอกงามในธรรมและทางโลกสาธุ...สาธุ...สาธุ อนุโมทามิฯ