ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรแห่งความรู้คู่ความสำเร็จ

หากท่านสนใจพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์ และเรื่องอื่นๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ตลอดเวลา นมัสเต....

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด (๒๓ ส.ค.๕๕)

ถ่ายร่วมกับผู้กำกับการ ผู้บริหารสถานศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด
 

ผู้เขียนกำลังบรรยายให้น้องนักศึกษาฟัง เรื่อง ศีลธรรมป้องกันยาเสพติด

น้องนักเรียนที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด กำลังนั่งฟังบรรยาย


.....ผู้เขียนได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อเจ้าคุณ พระราชปริยัติวิมล
เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธ) ให้ไปบรรยายพิเศษที่วิทยาลัยอาชีวศึกษา
จังหวัดร้อยเอ็ด เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด....ซึ่งใน
ครั้งนี้มีน้องนักศึกษา(ส่วนมากหญิง) แต่งกายในชุดลูกเสือ เข้าร่วม
โครงการจำนวนมาก ต้องขอนุโมทนาในกุศลเจตนาของผู้บริหาร
รวมถึงนายกองหารบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด สถานีตำรวจภูธร
ร้อยเอ็ย ได้ประสานความร่วมมือจนโครงการสำเร็จ
.....ได้ไปบรรยายแล้วก็รู้สึกว่าน้องๆที่นี่ตั้งใจกันดี เพื่อเตรียมความพร้อม
รู้เท่า รู้ทัน รู้กัน รู้แก้ รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย....
น่าเป็นห่วง....ปัญหายาเสพติดนี่ "ผู้เสพตาย ผู้ขายรวย" น้องๆอย่า
อยากทดลอง หรืออย่าตกเป็นทาสของมันเด็ดขาด รักษาศีลข้อ ๕ให้ได้
....ป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดนี้...ไม่ต้องพึ่งอื่นใด ศีลอย่างเดียว
เท่านั้นก็สามารถห่างไกลได้แล้ว หลักศีล ๕ จะครอบคลุมทุกเรื่อง
ในตัวอยู่แล้ว ฝากท่านผู้อ่านด้วยว่า...ศีล ๕ นี้แหละเป็นหลักให้เกิด
สันติภาพอย่างแท้จริง เพราะอาตมาถือว่าเป็นหลักประกันทางสังคม
ศีล ข้อที่ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ฯ .......เป็นหลักประกันชีวิต
ศีลข้อ ๒ ห้ามลักทรัพย์ฯ .......เป็นหลักประกันทรัพย์สิน
ศีลข้อ ๓ ห้ามประพฆติผิดทางกามฯ......เป็นหลักประกันครอบครัว
ศีลข้อ ๔ ห้ามพูดปดฯ .........เป็นหลักประกันเครดิต
ศีลข้อ ๕ ห้ามเสพของมึนเมา ........เป็นหลักประกันสุขภาพ
.......จำไว้ให้ดีนะน้องๆนักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ไม่ว่าชายหญิง
ถ้าทุกคนรักษาศีล ๕ ได้ ตัวเอง ครอบครัว สังคม ชาติบ้านเมือง
จะสงบสุขอย่างแน่นอน
...ไม่จำเป็นต้องมีตำรวจ ทหาร ศาล คุกตาราง เพราะเมื่อ
ทุกคนมีศีล ปัญหาทางสังคมจะไม่เกิด
"ยาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม"
เอวัง.....แค่นี้ล่ะ
.....ขออนุโมทนา......



ภูฏาน ตอนที่ ๓


วันนี้ขอเล่าต่อจากตอนที่แล้ว.....
ขณะนี้(ในภาพ) ผู้เขียนได้ยืน
อยู่ ณ อนุเสาวรีย์แห่งทหาร
ของภูฏานตั้งอยู่บนยอดเขา
ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๓,๐๐๐
กว่าเมตรเชียว ถือว่าสูงเอามากๆ
สังเกตดูจากฉากด้านหลังนั้น
จะมีกลุ่มควันลางๆ แต่แท้จริง
สิ่งที่มองเห็น คือเมฆ ที่เรามอง
จากพื้นล่างนั่นแหละ แต่เพราะที่นี่
สูงจึงมีเมฆลอยมาให้เราสัมผัสได้
....เดินทางจากเมืองทิมพู
จะไปที่พูนาคาจะต้องผ่านเส้นทาง
นี้ คณะเรามาถึงก็ต้องหยุดเพื่อ
ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก...อยากบอกว่า
สวยงามราวกับแดนสวรรค์นะคุณเอ๋ย...


....กล่าวว่า..สถานที่ตรงนี้เป็นเสมือนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ รถวิ่งผ่านมาจะต้องวนก่อน
ประมาณ ๑ รอบ พร้อมกับสวดมนต์ไปเป็นการรำลึกถึงความเป็นเอกราชของ
ชาวภูฏาน ที่แห่งนี้ทหารกล้าทั้งหลายได้สละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมังกร
...ทว่า...หากไม่มีวันนั้น....ภูฏานคงไม่มีวันนี้ จะเห็นได้ว่าชาวภูฏานมีความกตัญญู
ต่อบรรพบุรุษ ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อชาวภูฏานเคารพที่แห่งนี้ วิญญาณเหล่า
ภูติผีจะปกป้องรักษาพวกเขาให้ปลอดภัยและอยู่ดีมีสุข
.....เจดีย์ที่วางเรียงรายกลายเป็นพื้นที่วงกลมกลางยอดเขา จึงเป็นเสมือนศาล
หลักเมืองลักษณะเป็นเนินดินเจดีย์รายเรียงเป็นชั้นๆ ตรงกลางจะเป็นเจดีย์ใหญ่
ตั้งอยู่สูงสุดเห็นมาแล้วน่าดีใจแทนชาวภูฏานจริงๆ ในใจกลับคิดอีกอย่างว่า
"อยากอยู่ที่นี่"
หลายคนที่ไปคงไม่แตกต่างทางความคิดเหมือนผู้เขียนซักเท่าไหร่.....ไม่ว่า
อากาศที่บริสุทธิ์ นิสัยใจคอของชาวภูฏานอันเป็นมนต์เสน่ห์ให้เราได้สัมผัส
ความโอบอ้อมอารีย์ มีเมตตาต่อกัน ล้วนเป็นความสุขอันหาได้ยากยิ่งใน
ประเทศอื่นๆ
.....เอาล่ะ..ขอรายงานแค่นี้ก่อนละกันเน๊าะ ครั้งหน้าค่อยเจอกันใหม่มีอะไรดีๆ
อีกมากมายรออยู่ข้างหน้า....อย่าพลาดก็แล้วกันนนนนน

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ภูฏาน : ภูมิสถานที่น่าอยู่ (ตอน ๒)

หายไปหลายวัน.....ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วย
ตอนที่ ๒ นี้เว้นไปหลายวัน....เนื่องจากภารกิจเยอะมาก
เลยต้องห่างหายไปหลายวัน....
...มาเล่าถึงการเข้าไปชมทิมพูซอง (หมายถึงป้อม หรือวัง) วันนี้
พี่ต้อยกับพี่กุ๊กไก่หัวหน้าทัวร์ของ บริษัทมายด์ วาเคชั่น ได้นำ
คณะฯเข้าไปเยี่ยมชม...ก่อนจะไปพี่ไก่กับพี่ต้อย ต้องพาลูกทัวร์
เตรียมตัวกันก่อนเสมือนหนึ่งเป็นการแนะแนวธรรมเนียมการเข้าวัง
เพื่อเข้าไปแล้วจะได้กลมกลืนกับสถานที่....โดยให้ลูกทัวร์แต่งกาย
แบบชาวภูฏาน...อันแน่!!!! อยากทราบล่ะซิว่าแต่งตัวอย่างไร...หัวหน้าทัวร์
แสนสวยของเราทั้งสองก็เลยซื้อผ้าคีร่า (ชุดแต่งกายหญิงของภูฏาน) และ
แต่งเป็นแบบอย่างด้วย สวยเชียวล่ะ...ส่วนฝ่ายชายต้องใส่ผ้าโก
(ชุดแต่งกายชายชาวภูฏาน) ถึงไม่มีรูปประกอบคงนึกออก เพราะสมเด็จ
พระราชาธบดีจิกมี่ วังชุก แต่งอย่างไรคนไทยทั้งมวลคงเคยเห็น...ห้าม
ปฏิเสธล่ะว่าไม่รู้จัก เจ้าชายจิกมี่......อะจึ๋ยยยย!
พอแนะนำสัมทับกันเรียบร้อย เวลาบ่อยคล้อย ท่ามกลางบรรยากาศที่
มีสายฝนปรอยปราย คณะของเราก็ไม่หวั่น  พากันไปอย่างผู้อยากรู้ อยากเห็น
พอไปถึงลานจอดรถ บรรดาลูกทัวร์ฝ่ายหญิงทั้งหลาย พากันแต่งกายชุดคีร่า
รีบหามุมชักภาพทันที ส่วนฝ่ายชายไม่มีใครกล้าแต่งกายแบบภูฏานเลย..อิอิอิ
....แต่น่าเสียดายว่าวันนั้นเราไม่เห็นพระราชจิกมี่ เนื่องจากพระองค์มีราชกิจ
ก็เลยได้เห็นแต่ที่ประทับ (วังใน) และพระราชวังที่ทรงงาน
และประกอบพิธีเท่านั้น
เมื่อเดินฝ่าสายฝนเข้าไปจนถึงประตูใหญ่ทางเข้า เจ้าหน้าที่ก็ตรวจกระเป๋าเพื่อ
ความปลอดภัย....ผ่านแล้วเข้าไปภายใน....โอโห! อยากบอกว่าสวยงามจริงๆ
ภายในนั้นนะ เป็นเหมือนวิหารคดขนาดเขื่อง มีที่ประทับทรงงานของพระราชา
และเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร จุดเด่นก็คือ พระอารามหลวงซึ่งมีพพระลามะอาศัย
อยู่จำนวนมาก คณะเราได้ฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจนเข้าใจ แล้วมุ่งหน้าสู่
วิหารหลวง ภายในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่มาก รายรอบผนังวิหารมี
พระพุทธรูปองค์เล็กๆเรียงรายเป็นระเบียบ ตรงพระประธานด้านซ้ายขวา
จะมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ ขวามือพระพุทธรูปเป็นพระปทุมสมภพ
ส่วนด้านซ้ายมือเป็นพระอวโลกิเตศวร ซึ่งชาวพุทธมหายานจะเคารพบูชามาก
โดยเฉพาะพุทธศาสนานิกายตันตระ และนิกายลุกปะ
....ผู้เขียนเลยพาญาติธรรมไหว้พระสวดมนต์ โดยใช้บทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ
และสังฆคุณ จากให้ให้อธิษฐานจิตตามความเหมาะสมแก่เวลา
ในวิหารนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตน เป็นปฏิมากรรมฝาผนัง มีพุทธประวัติ และพระ
โพธิสัตว์ สวยงามสุดจะพรรณนา เป็นศิลปะผสมระหว่างจีนกับทิเบต รวมเป็น
ศิลปะของภูฏาน จากนั้นให้ร่วมกันบริจาคทำบุญตามอัธยาศัย พระลามะซึ่ง
เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลวิหารก็เอาน้ำมานต์มาแจกจ่าย ทั้งดื่ม ทั้งรด ทั้งล้างมือ
แต่ไม่มีอาบนะ...แฮ่ๆๆๆ
....ก็ได้บุญ ได้ความสุขสบาย ถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระคุณท่านลามะ
อยากบอกว่า ดีมากเลย.....จนอยากอยู่ที่นี่....อิอิอิ
ฝนตกแรงมากแล้ว ดูท่าทีคงจะไม่หยุดง่ายๆ ขอฝ่าสายฝนกลับไปขึ้นรถ
ดีกว่าเน๊อะ....พวกเราขอ บ๊าย บาย ก่อนละกัน
เจอกันตอนหน้า เด้อ.....