ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรแห่งความรู้คู่ความสำเร็จ

หากท่านสนใจพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์ และเรื่องอื่นๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ตลอดเวลา นมัสเต....

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

เรียนรู้ความตาย (ไม่น่ากลัวเลยใช่ไหม...)

วันนี้จะขอเล่าเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว และทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
นั่นก็คือ "ความตาย" เมื่อได้ยินคำนี้ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า "ไม่สำคัญ"
และเป็นคำ "อปมงคล" ลองถามใจคุณสิ..ว่า คิดเช่นนี้หรือเปล่า...แน่นอน
เพราะธรรมชาติมนุษย์ย่อมกลัวตาย กลัวพลัดพรากเป็นที่สุด ยิ่งคนมีสมบัติ
มากมายยิ่งไม่อยากจากสิ่งเหล่านั้นไปไหน...

ท่านสาธุชนทั้งหลาย.... ความตายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยแต่ทะว่า เมื่อเรารู้แล้วว่าต้องตายอย่างแน่นอน จะได้สร้างความคุ้นเคยกับความตายอย่างไม่เกรงกลัว ยิ่งเป็นการทำให้ไม่ประมาทในชีวิตเพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแยกแสนยาก ที่ยากกว่านั้นก็คือ
การที่จะรู้ว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์สุดประเสริฐยากกว่า....เพราะมนุษย์ส่วนมากไม่รู้จักคุณค่าแห่งชีวิต มัวประมาทเลินเล่อคิดว่ายังหนุ่มแน่น หรือเป็นสาวอยู่ หารู้ไม่ว่า ความตายไม่ได้เลือกวัยไม่เลือกเวลาและโอกาส พร้อมจะตายได้ตลอดเวลา ตายแล้าไม่รู้ว่าจะได้ไปเกิดภพภูมิใด การพิจารณาถึงความตายนั้น เป็นเรื่องไม่เกินความจริงยิ่งสังคมปัจจุบันอันตรายมาก เพราะมีเครื่องล่อลวงชวนให้ได้เกิดความโลภ โกรธ หลง มนุษย์ส่วนใหญ่จะเอาชีวิตไปมัวเมากับวัตถุทางโลก จนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เพราะกิเลสทับถมมองไม่เห็นภัยอันใกล้ตัว พระอาจารย์ไพสาล วิสาโร ได้กล่าวไว้ว่า .....มรณสติ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การนึกถึงความตายที่เกิดขึ้นกับตัวเราเท่านั้นนั่นเป็นส่วนแรกของมรณสติ มรณสติมีสองส่วนส่วนแรก คือ การระลึกถึงความจริงว่า เราต้องตายอย่างแน่นอน
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต้องระลึกต่อไปด้วยว่า เราสามารถจะตายได้ทุกโอกาสสามารถจะตายได้ทุกเมื่อ แม้ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก็ตามสำหรับคนส่วนใหญ่ความตายเป็นสิ่งที่แย่
แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร อาจจะคืนนี้ อาจจะพรุ่งนี้ก็ได้ทีนี้ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า ถ้าเราตายในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้จริงๆเราเตรียมใจพร้อมหรือยัง นี้คือส่วนที่สองของมรณสติคือการถามใจตัวเองว่า ถ้าจะต้องตายในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้เราทำความดีมาพอหรือยัง สิ่งสำคัญที่ควรทำ เราได้ทำหรือยังรวมไปถึงว่า เราพร้อมที่จะปล่อยวางสิ่งที่เรามีเราเป็นหรือเปล่ามรณสติหากทำอย่างถูกต้องจะได้ประโยชน์อย่างน้อย สามประการ
๑) ทำให้เราขวยขวายในสิ่งที่เราชอบผัดผ่อน ในชีวิตเรามีสิ่งสำคัญมากมายที่ควรทำแต่เราไม่ได้ทำ เพราะเราเอาแต่ผัดผ่อน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะมันไม่มีเส้นตาย ชีวิตทุกวันนี้เป็นชีวิตที่วุ่นกับการแข่งให้ทันเส้นตายเรามัวแต่ทำโน่นทำนี่เพราะมันมีเส้นตาย ส่วนใหญ่มักได้แก่อาชีพการงานแต่บางทีก็เป็นงานสังคม หรือความสนุกสนานเพลิดเพลินเช่น ต้องรีบไปห้างเพราะเทศกาลลดราคากำลังจะหมดเขตคืนนี้หรือต้องรีบกลับไปดูละครยอดฮิตตอนสุดท้ายในทางตรงข้ามสิ่งที่ควรทำ เช่น การปฏิบัติธรรม การฝึกฝนจิตใจการให้เวลากับครอบครัว การดูแลพ่อแม่เรามักจะผัดผ่อนเพราะมันไม่มีเส้นตาย ทำเมื่อไรก็ได้
เพราะเราคิดว่ายังมีเวลาอยู่ นั่นคือความประมาท
แต่ถ้าเราระลึกถึงความตายอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้นกับเราหรือคนรักของเราเมื่อไรก็ได้ เราก็จะไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปหรือผัดผ่อนว่าเรื่องอย่างนี้เอาไว้ทีหลังตรงข้ามเราจะเร่งทำสิ่งเหล่านี้ทันทีที่มีโอกาส ความ ขวนขวายไม่ผัดผ่อนพุทธศาสนาเรียกว่า ความไม่ประมาท
๒) ทำให้เราปล่อยวางในสิ่งที่เราชอบยึดติด เราชอบยึดติดอะไรบ้างเราชอบยึดติดคนรัก เงินทอง ชื่อเสียง การระลึกถึงความตายเตือนใจให้เราเห็นความสำคัญของการปล่อยวาง เพราะในที่สุดเราต้องจากสิ่งเหล่านี้ไปหมดยิ่งระลึกถึงความตายบ่อยเท่าไร ก็ปล่อยวางได้ง่ายเท่านั้นอย่างไรก็ตามสิ่งที่เราควรปล่อยวาง ไม่ได้มีแค่สิ่งที่เรารักหรือให้ความสุขแก่เรา
แม้แต่สิ่งที่เราไม่รัก เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความรู้สึกผิด
ก็เป็นสิ่งที่เราควรปล่อยวางด้วย เพราะถ้าเราไม่ปล่อยวางเวลาจะตาย มันก็จะทำให้เราทุรนทุราย เจ็บปวดอาจถึงกับนอนตายตามไม่หลับ บางคนทำความดีมามาก
แต่เวลาจะตาย ไปนึกถึงความไม่ดีที่เคยทำ อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย
อกุศลที่เกิดขึ้นในใจแม้เพียงขณะเดียวสามารถพาไปสู่ทุคติได้ความรู้สึกผิดว่าเราเคยทำความไม่ดีบางอย่างเอาไว้หรือความโกรธแค้นพยาบาทใครบางคน มันสามารถรบกวนจิตใจในยามใกล้ตายได้ทำให้เราตายไม่ดี ดังนั้นเราต้องรู้จักปล่อยวางสิ่งเหล่านี้และต้องฝึกปล่อยวางเสียแต่วันนี้
๓) ทำให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันเราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของวันนี้หรือวันพรุ่งนี้เพราะเราคิดว่าเรายังจะมีเวลาอยู่ได้อีกหลายปีแต่ถ้าเรารู้ว่าเราต้องตายคืนนี้ แต่ละนาทีที่ยังมีชีวิตอยู่จะกลายเป็นสิ่งมีค่าทันทีเราจะไม่ปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไร้สาระคนที่เป็นมะเร็งแล้วรู้ว่าจะมีเวลาอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่กี่เดือนจะรู้สึกเลยว่าแต่ละวันมีความหมายมากในทำนองเดียวกันหากเราเตือนใจตัวเองว่าลูกหลานคนรัก และพ่อแม่ของเรา เขาอาจจะตายวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ได้
เราจะรู้สึกเลยว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่กับเรานั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากแต่ละวันแต่ละชั่วโมงที่เขายังอยู่กับเรา จะมีความหมายมากเราจะไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เราจะให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่เราจะทำดีกับเขา อ่อนโยนนุ่มนวลกับเขา ไม่กระด้างหมางเมินเขาขณะเดียวกันเราจะรู้สึกว่าการที่เขายังมีชีวิตอยู่กับเราแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องมีเงินทองมากไม่ต้องมีบริษัทบริวารมากก็ได้ เพียงแค่คนที่เรารักยังอยู่กับเรายังไม่ตายไปจากเรา แค่นี้ก็นับว่าเป็นโชคดีแล้วถ้าหมั่นเจริญมรณสติในแง่นี้ เราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้น
เราจะพบว่าเรามีของดีอยู่กับตัวหรือรอบตัวแล้วไม่ต้องแสวงหาหรือดิ้นรนมากไปกว่านี้ก็ยังได้มันจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างโปร่งเบาได้จริงๆขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้เราหมั่นทำความดีมรณสติจึงไม่ได้ช่วยให้เราตายอย่างสงบเท่านั้นแต่ยังช่วยกระตุ้นเตือนให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่าอย่างถูกต้อง ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์หรือดำเนินชีวิตไปในทางที่เสียหายทราบแล้วเปลี่ยน ก็อย่าประมาทล่ะท่านผู้อ่านอย่าประมาทในวัย ในอายุ ในชีวิต และการครองเรือน
อยากฝากพุทธพจน์บทหนึ่งว่า...

"เมื่อจิตเศร้าหมองย่อมไปสู่ทุคติ
จิตผ่องใสย่อมไปสู่สุคติ"

"ความไม่ประมาท"
จึงเป็นโอวาทครั้งสุดท้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเอง!!!!ขอทุกท่านจงเจริญงอกงามในธรรมและทางโลกสาธุ...สาธุ...สาธุ อนุโมทามิฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น