ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรแห่งความรู้คู่ความสำเร็จ

หากท่านสนใจพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์ และเรื่องอื่นๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ตลอดเวลา นมัสเต....

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ประวัติศิวลึงค์

รูปปั้นพระศิวะ ถือว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์มหาเทพที่ยิ่งใหญ่ในดวงใจของชาวฮินดู (พระพรหม พระวิษณุหรือพระนาราย พระศิวะหรือพระอิศวร) ซึ่งเป็นมหาเทพที่ร้ายกาจมากจนผู้นับถือต้องยำเกรงอย่างสนิทใจ ที่สำคัญมากก็คือเรื่องการบูชารูปเคารพ คนอินเดียจะมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าเป็นอย่างมาก อะไรก็ตามที่ศรัทธาว่าเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ก็จะร่วมมือร่วมใจสร้างรูปเคารพต่างๆขึ้น แล้วประดิษฐานตามวัด(มันดีร) เพื่อให้ผู้คนที่นับถือเดินทางผ่านไปผ่านมาได้สัการะบูชาอย่างสะดวกสบาย
ในที่นี้จะขอหยิบยกประวัติ ศิวลึงค์ (ศิวะหมายถึงชื่อพระศิวะ, ลึงค์ แปลว่าเพศหรืออวัยวะเพศชาย) ซึ่งเป็นอีกสิ่งเคารพอันสูงส่งของชาวฮินดู แต่ถ้าเห็นรูปปั้นศิวลึงค์อยู่ที่ไหนก็จะปรากฏมีรูป โยนี(อวัยวะเพศสตรี)อยู่ด้วยกัน เพราะมีหลายคนเคยถามด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากทราบจริงๆ ที่มาของการสัการะบูชารูปปั้นทั้งสองอย่างนี้ ได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ ลิงคปูรณะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อีกเล่มของชาวฮินดู เอาล่ะไม่ควรจะเสียเวลาเกริ่นยาวมากไป หลายคนแทบจะอดรนทนกลั้นที่อยากจะรู้ไม่ไหวแล้ว เข้าเรื่องกันเลย ตามข้าพเจ้ามาด่วนจี๋ทางนี้
มีประวัติอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...พระพรหม พระวิษณุ และพระนางวาสิฏฐี พร้อมด้วยเทพบรวารอื่นๆ ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระศิวะที่เขาไกรราสถึงที่ประทับ เพื่อประชุมปรึกษาหารือกันในเรื่องต่างๆ ตามประสาเทพเจ้าคุยกัน แต่บังเอิญในขณะนั้นพระศิวะเสวยน้ำโสม(สุราดีๆนี่เอง)มากเกินไป จนกระทั่งเมาไม่มีสติสตังค์ (โบราณบอกว่า พอเหล้าเข้าปากก็มักจะทำผิดศีลได้ทุกข้อ) เป็นจริงอย่างนั้นทุกประการ ขณะนั้นพระชายาของพระศิวะคือ พระนางปารวตี ก็อยู่ในท้องพระโรงด้วย พระศิวะพอมองเห็นศรีภรรยาก็เกิดอารมณ์ทางเพศขึ้น โดยไม่ได้สนใจว่าสถานที่แห่งนี้คือท้องพระโรง(ห้องประชุมของเหล่าเทพ)...
ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สติมาปัญญาจะเกิด หากสติเตลิดก็จะเกิดปัญหา พระศิวะไม่มีสติเลยแม้แต่น้อย เพราะดื่มมากไป ทรงเสพสังวาส(มีเพศสัมพันธ์)กับพระนางปารวตี ณ สถานที่แห่งนั้นนั่นเอง (เห็นหรือยังว่าเทพเจ้าของชาวฮินดูก็ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์มากมายอะไรนัก เพราะยังมีราคะ โทสะ และโมหะ เหมือนกันกับเรา และมีครอบครัวได้อย่างมนุษย์นี่แหละท่านเอ๋ย..)
ขณะที่กำลังเสพสังวาสกันอย่างดื่มด่ำอยู่นั้นจนหน้ามือดตามัว จึงไม่ได้สำนึกถึงการกระทำอันไม่สมควร เทพทั้งหลายที่นัดกันมาประชุม ได้เข้ามาเจอภาพอันน่าระอาและความไม่สำรวมในกามคุณของพระศิวะและภรรยาเข้าพอดี จึงพากันดูถูกเหยียดหยาม ในการกระทำที่ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถจะควบคุมตัวเองได้ พระวิษณุถึงกับอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ ที่เห็นภาพทั้งสองพระองค์ขาดสติสัมปชัญญะ(ก็คงจะเหมือนกับเราไปเห็นคนเมานี่กระมัง!) บรรดาเทพเจ้าต่างๆ พากันร้องด่าอย่างไม่พอใจว่า พวกที่มีสมบัติผู้ดีอย่าได้มาคบค้าสมาคมกับพระศิวะนี้เลย... จากนั้นพากันสาปแช่งต่างๆ นานาก่อนจะเดินหันหลังจากไป
เมื่อทั้งสองพระองค์คลายจากภาวะเช่นนั้นแล้ว พระศิวะจึงถามทหารรักษาประตูว่า มีใครมาส่งเสียงรบกวนเราหรือไม่ ทหารก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทรงทราบ เมื่อทราบดังนั้นทั้งพระศิวะและพระนางปารวตี ก็เกิดความอับอายเป็นอย่างมาก พระศิวะทรงมีพระประสงค์จะให้มวลมนุษย์ได้จดจำการกระทำ ที่ทำให้ทั้งสองพระองค์เกิดความอับอายเช่นนั้นไปตลอดชั่วกาลนาน(ฟังดูก็เหมือนกับการป้องกันและกลบเกลื่อนความผิดที่ตนได้กระทำลงไปนี่นา.) จึงมีรับสั่งว่า ข้าฯ คือพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด ดังนั้น ลึงค์ของข้าพร้อมกับของพระเทวีก็เช่นเดียวกัน มันคือสัญลักษณ์แสดงการต้องรับของเทพพระเจ้าที่เขาไกรราส ความอับอายได้ทำลายชื่อเสียงของทั้งสองพระองค์ แต่ทำให้สัญลักษณ์ของทั้งสองพระองค์มีชีวิตที่เป็นอมตะ คือ ศิวลึงค์กับโยนี จนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่เก่าแก่ที่สุด ที่ผู้คนชาวฮินดูมาบูชากราบไหว้จนถึงปัจจุบัน จึงไม่มีสัญลักษณ์ใดที่จะมาเป็นตัวแทนของพระศิวะได้ดีเท่าศิวลึงค์อีกแล้ว ดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้
นอกจากนั้น ชาวฮินดูเชื่อว่า มนุษย์มีกำเนิดมาจากความเร้นลับซับซ้อนอันมหัศจรรย์ ของการร่วมเพศ ซึ่งมีศิวลึงค์กับโยนีเป็นผู้ผลิตผลให้มนุษย์เกิดมา ลึงค์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งหมายถึงพระศิวะมหาเทพ จึงเรียกว่า ศิวลึงค์ และโยนี ก็คือผู้ให้กำเนิดแก่สรรพสัตว์  สิ่งเหล่านี้ได้ถูกนำมาวินิจฉัยกันอย่างละเอียดลึกซึ้ง และเป็นมูลเหตุให้เกิดเป็นลัทธิตันตระ(หมายถึงลัทธิที่เชื่อว่าการจะบรรลุสิ่งสูงสุดได้จะต้องผ่านการมีเพศสัมพันธ์กันก่อนโดยไม่เลือกว่าผัวเมียใคร) จึงปรากฏรูปปั้นปฏิมากรรมแสดงท่าทางการร่วมเพศเสพสังวาสท่าต่างๆ ที่โด่งดังไปทั่วโลก คือ ที่เมืองขะชุระโห (ที่กำเนิดคัมภีร์กามสูตรนั่นไงท่าน)
ส่วนศิวลึงค์ที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก อยู่ที่เมืองพาราณสี คือ มุขศิวลึงค์ จะมีการแกะสลักหินทั้งแท่งให้เป็นรูปศิวลึงค์ ตรงโคนศิวลึงค์จะแกะสลักรูปพระพักตร์ของพระศิวะไว้ทั้งสี่มุม ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในมุขด้านซ้ายภายในเจดีย์ใหญ่ที่ วัดศิวนาถมันดีร วัดนี้ตั้งอยู่ใจกลางของมหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดู เมืองพาราณสีนี่เอง หากท่านใดสนใจอยากมาดูด้วยตาของตนเอง สามารถเดินทางมาเยียมชมได้อย่างสะดวกนะคุณเอ๋ย.....         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น